เรื่องราวของการใช้จักรยานล้อเล็กAlex Moulton New Series ในการปั่นจักรยานทางไกล Audax 1000BRM SVB-Trat โดยน้อง ต้น
Ton Nattaphop จะโหด และสนุกสนาน อย่างไร ลองติดตามชมกันนะครับ
Alex Moulton กับ Audax 1000BRM SVB-Trat ตอนแรกตอนที่ 1
..
คนตัวใหญ่กับรถล้อเล็ก
..
เป็นครั้งแรกของการจัดปั่นจักรยานระยะทาง 1,000 กิโลเมตร โดย Audax Randonneurs Thailand หรือออแดกซ์ประเทศไทย
เป็นครั้งแรกของ Alex Moulton กับระยะทาง 1,000 กิโลเมตรในประเทศไทย
เป็นบททดสอบว่า เสือหมอบล้อเล็กอย่าง Alex Moulton จะผ่านไปได้หรือไม่อย่างไรในรายการนี้
..
Audax 1000BRM SVB-Trat ครั้งนี้ มีระยะทางทั้งสิ้น 1,012 กิโลเมตร เส้นทางดังนี้ สุวรรณภูมิ-บ้านโพธิ์-พนัสนิคม-บ่อทอง-เขาอ่างฤาไน-คลองหาด-โป่งน้ำร้อน-บ่อไร่-คลองใหญ่-เมืองตราด-ขลุง-เนินนางพญา-แกลง(อนุสาวรีย์สุนทรภู่)-วัดละหารไร่-วังจันทร์-บ่อทอง-พนัสนิคม-บ้านโพธิ์-สุวรรณภูมิ กล่าวคือ เริ่มต้นจากสถานีตำรวจท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปกลับตัวที่สถานีตำรวจอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด แล้วกลับมาจบยังจุดเริ่มต้น มีกรอบเวลาให้ปั่นภายใน 75 ชั่วโมง เท่ากับมีเวลาปั่นถึง 3 วัน 3 คืน 3 ชั่วโมง เริ่มเวลา 07.00 น. ของวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559 ถึงเวลา 10.00 น. ของวันอังคารที่ 25 ตุลาคม 2559 มีนักปั่นร่วมรายการราว 160 คนจากทั่วสารทิศ รวมถึงจากต่างประเทศด้วยหลายคน
..
ก่อนปั่นครั้งนี้ผมเตรียมตัวและวางแผนพอสมควร ซื้อเสบียงไว้สำหรับสามวันซึ่งดูเยอะจนถูกแซวว่า "ตกลงนี่จะไปปั่นหรือจะไปกิน"(ฮา) เตรียมอะไหล่และอุปกรณ์ซ่อมบำรุง ให้ช่างโอ Okart Bualoi ช่างประจำร้าน British Cycle Square เซ็ตจักรยานให้พร้อมใช้งาน โทร.หาเพื่อนที่จะปั่นด้วยกัน และจัดการจองโรงแรมไว้สำหรับนอนพักระหว่างปั่น 2 คืน คือ คืนแรกที่กม.389 ณ ใบบุญรีสอร์ท อ.บ่อไร่ จ.ตราด คืนที่สองกม.743 ณ สวนวังแก้ว จ.ระยอง วางแผนว่าจะใช้เวลาปั่นทั้งสิ้น 3 วัน 2 คืนเท่านั้น โดยวันแรกจะปั่นระยะทาง 389 กิโลเมตร วันที่สองระยะทาง 354 กิโลเมตร และวันสุดท้ายระยะทาง 269 กิโลเมตร
..
การปั่นครั้งนี้มีความรู้สึกเป็นบุคคลสำคัญ(VIP)นิดๆ เพราะว่ามาปั่นเพียงคนเดียวและมีรถเซอร์วิสตามมาดูแลด้วยคันหนึ่ง คือ นานๆทีจะมีรถเซอร์วิสกับเขาบ้างน่ะครับ ฮ่าๆๆ หรือกล่าวอีกอย่างให้คนหมั่นไส้เล่นว่า ต้องให้สมฐานะ Alex Moulton New Series Stainless หน่อย
..
เสาร์ 22 ตุลาคม 2559
..
เช้าวันแรกของการปั่น 1,000 กม. ออกจากบ้านประมาณ 05.30 น. แวะซื้อมื้อเช้าทานบนรถนิดหน่อย เมื่อถึงสถานีตำรวจท่าอากาศยานสุวรรณภูมิก็ไปจัดการลงทะเบียนก่อน รับ Brevet Card และซื้อเสื้อที่ระลึกสำหรับการปั่นครั้งนี้ รวมถึงทักทายเพื่อนนักปั่นหลายๆคนที่คุ้นเคยกัน แล้วจึงกลับมาจัดเตรียมจักรยานและข้าวของจนเรียบร้อย ยิ่งใกล้เวลาปั่นบรรยากาศที่นี่ก็เริ่มคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนเริ่มปั่นยังพอมีเวลาทักทายพูดคุยถ่ายภาพร่วมกับเพื่อนนักปั่นอีกนิดหน่อย เจอพี่หมอป้อม Poonkiat Reungpoca พี่หมอโป้ง Talerngkiat Jamulidrad พี่พยาบาลเจี๊ยบ Boosaraporn Prakotrat พี่ต้น Ravi Lim พี่แต้ Tae Travelmania พี่เอก Anurak Pha ลุงMarcel Lefebvre Marcel และอีกหลายคน จนใกล้เริ่มเต็มทีนั่นละ ผมโทร.หาพี่กิ้ว Pwinn Ruji เพราะนัดกันไว้ว่าจะปั่นด้วยกัน(อย่างน้อยก็วันแรก) แต่สำรวจดูแล้วไม่เห็น ได้ความว่า ให้ผมล่วงหน้าไปก่อน โอเคครับ ตามนั้น
..
- 07.06 น. ผมเริ่มออกตัวเป็นคนแรก เพราะดูหลายคนยังรอฤกษ์อยู่ หาใช่รีบไม่ แต่ไม่รู้จะรออะไร เพราะถ่ายภาพหมู่เสร็จพักหนึ่งแล้ว ก็ปั่นไปเรื่อยๆ ครู่เดียวก็มีคนตามมา กลายเป็นกลุ่มแรกบนถนนลาดกระบัง ถนนที่ราบแต่ไม่เรียบเอาเลย มีร่องรอยชำรุดตลอดทาง คงเพราะเป็นเส้นทางวิ่งของรถบรรทุกกระมัง จึงกระเทือนเอาเรื่องทีเดียว แต่รู้สึกดีที่ปั่น Alex Moulton เพราะมีระบบซับแรงสะเทือนที่ดี ทางเส้นนี้พาให้ผ่านทางเข้าตลาดคลองสวน 100 ปี ผ่านชุมชมบ้านเรือนและโรงงาน ต่อไปยังอำเภอบ้านโพธิ์และอำเภอพนัสนิคม ที่ซึ่งผมไม่เคยผ่านมาเลย ประมาณกม.80 ถึงแยกหนองเสม็ด อากาศเริ่มร้อนและน้ำหมดแล้วทั้งสองกระติก เลยแยกไปหน่อยมีร้านขายของชำจึงจอดเติมน้ำหน่อย จากนั้นก็ไปต่อ เพราะอีกเพียง 20 กิโลก็จะถึง CP1 ร้าน 7-11 อำเภอบ่อทองแล้ว ปั่นต่อไปได้สักสิบห้ากิโลเท่านั้น ปรากฎว่า สกรูยึดโครงกระติกตัวหนึ่งหลุดและหล่นหาย เสียเวลาตามหาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เจอจึงต้องไปต่อ ไว้พักแล้วค่อยจัดการกับมัน เพราะต้องปั่นอีกไกล การจะปั่นโดยมีสกรูยึดขากระติกอยู่เพียงตัวเดียวนั้นไม่ดีแน่
..
- 10.37 น. ถึง CP1 กม.99.4 ร้าน 7-11 อำเภอบ่อทอง หลังจากให้เจ้าหน้าที่ประทับตราเรียบร้อยแล้วก็พักล้างหน้าล้างตา เติมน้ำให้เต็มทั้งสองกระติก จัดเตรียมเสบียงระหว่างปั่นเพิ่มเติม รวมทั้งจัดการใส่สกรูยึดขากระติกอีกตัวเข้าไปให้ใช้งานได้ดังเดิม งานนี้พี่กอฟท์ช่วยดูแลอย่างดี ราวกับคนให้น้ำนักมวย จากนี้ไปเป็นการปั่นคนเดียวอย่างจริงจังแล้ว ช่วงเช้ายังพอได้ปั่นไปคุยไปกับพี่โป้ง พี่แต้ ทักทายพี่ป้อม พี่อ้วน และเบิร์ดบ้าง ทางระหว่าง CP1 ถึง CP2 นั้น มีระยะทางกว่าร้อยกิโล ต้องผ่านเขาอ่างฤาไนและอีกหลายตำบล ดังนั้นน้ำต้องหมดแน่นอน เส้นทางช่วงนี้ส่วนหนึ่งผมเคยปั่นแล้ว จึงพอประเมินสภาพการณ์ได้ มื้อกลางวันทานข้าวปั้นกับเค้กโรลบนอานจักรยานนี่ละ ง่ายดี น้ำหมดที่ประมาณกม.150 ก็หาร้านและหยุดเติม ถือโอกาสเอาน้ำรดตัวราดเสื้อเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายด้วย ได้สนทนาปราศรัยกับเจอเจ้าของร้านตามสมควร เป็นธรรมดาอยู่เองที่มักจะถูกถามว่า มาจากไหน จะไปไหน จักรยานแพงมั้ย พอบอกว่ามาจากกรุงเทพฯ นางก็บอกว่า ทำยังไงจะได้ไปกราบพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ บ้านนางอยู่ไกล ไม่มีรถไป ผมได้แต่เพียงให้กำลังใจตอบไปว่า ยังมีเวลาอีกนาน คงมีโอกาสได้ไปครับ แถมท้ายนางใจดีให้น้ำแข็งมาฟรี ผมเติมใส่กระติกน้ำทั้งสองใบจนเต็มแล้วยังเหลืออยู่ ก็เลยยัดใส่หลังเหมือนอย่างเคย จากนั้นก็ร่ำลาเพื่อไปต่อ ระหว่างทางช่วงเขาอ่างฤาไนมีฝนตกพรำๆ พอให้ได้บรรยากาศป่าเขาเพิ่มขึ้นมาอีก ผมจอดเอาเสื้อกันฝนมาใส่ และถือโอกาสจะทดลองใช้งานถุงคลุมรองเท้าที่เพิ่งสั่งซื้อมาด้วย แต่ความที่ยังไม่เคยใส่ก็เลยใส่ลำบาก จึงล้มเลิกไป ทำให้เสียเวลาทิ้งไปอีกสิบนาที ฮ่าๆๆ เขาอ่างฤาไนนี้มีสิ่งที่พึงระมัดระวังอย่างหนึ่งนอกจากรถบรรทุก คือ ช้างป่า เพราะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเขา ซึ่งโดยมากจะออกมาช่วงเช้าและเย็น เราจึงควรหลีกเลี่ยงการผ่านในเวลาดังกล่าว ปั่นไปได้ครู่ใหญ่ มีรถกระบะคันหนึ่งขับสวนมา ชะลอรถและเบนเข้ามาหาผมด้วยความตั้งใจ ทำให้ผมบังเกิดความสงสัยว่าเบนรถเข้ามาหาผมทำไม มีอะไรหรือเปล่า มีสิครับ ลุงคนขับแกยื่นกล้วยน้ำว้ามาให้หวีหนึ่ง จากที่มีอยู่เต็มกระบะ บอกเอาไปกินแก้หิว ผมได้แต่ขอบคุณในน้ำใจของลุง เพราะไม่รู้จะหอบหิ้วมายังไง ขอบคุณลุงจริงๆครับ นี่คือสิ่งที่มีอยู่คู่คนไทยเสมอมา "ความมีน้ำใจ" พบเห็นได้ทั่วไป โดยเฉพาะตามต่างจังหวัด เมื่อพ้นเขตเขาอ่างฤาไนมาแล้ว น้ำก็หมดลงอีกครา จึงจำต้องเติม เพราะกว่าจะถึงคลองหาดก็อีกนับสิบกิโล
..
- 16.41 น. ถึง CP2 กม.224.2 ร้าน 7-11 คลองหาด ประทับตราแล้วก็ถึงเวลาหาอาหารใส่ท้อง นั่งพักทานที่ท้ายรถนี่ละ ณ จุดนี้ ได้ฤกษ์ติดตั้งไฟหน้า-ไฟท้ายและใส่เสื้อกั๊กสะท้อนแสงก่อนที่ออกเดินทางต่อไป จากจุดนี้ไปยัง CP3 เทศบาลโป่งน้ำร้อน ระยะทาง 90 กิโล เป็นถนนเลียบชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งรถบรรทุกใช้สัญจรเป็นปกติ สภาพถนนบางช่วงจึงตกต่ำย่ำแย่ดั่งทางไปนรก เป็นถนนสายที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ผมปั่นจักรยานมา มีหลุมดักนักปั่นอยู่มากเหลือเกิน ตอนค่ำมีฝนตกลงมา บรรยากาศชื้นแฉะ ทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ บางคนล้ม บางคนยางรั่ว ช่วงนี้เองที่ยืนยันชัดเจนว่า Alex Moulton คือ Rolls-Royce ของรถจักรยานอย่างแท้จริง สามารถผ่านไปได้โดยง่ายกว่าจักรยานประเภทอื่น เป็นความโชคดีอีกอย่างหนึ่งที่รถคันนี้มีบังโคลน ช่วยให้หมดกังวลเรื่องเสื้อผ้าและรองเท้าเปื้อนดินโคลนที่เหวี่ยงจากล้อขึ้นมา สบายตัวระหว่างปั่นกันไป ทางช่วงนี้ได้พบนักปั่นชาวสวิสคนหนึ่งชื่อ "Peter" ผมก็เลยชวนคุยระหว่างปั่น ได้ความว่า เป็นสถาปนิก เกิดผิดที่ ชอบเมืองไทยมากกว่าสวิตเซอร์แลนด์ อยู่เมืองไทยมาหลายปีแล้ว พูดภาษาไทยได้คล่อง ฯลฯ
..
- 21.39 น. ถึง CP3 กม.314.6 เทศบาลโป่งน้ำร้อน ฝนยังคงตกอยู่ มีนักปั่นมาถึงหลายคนแล้ว บ้างพักที่นี่ บ้างไปต่อ จุดนี้มีข้าวต้มเย็นๆกับไข่ต้มเลี้ยง ผมก็ทานไปถ้วยหนึ่ง จากนั้นออกไปนั่งทานเกี๊ยวน้ำตรงข้ามเทศบาลกับพี่กอฟท์พอให้อุ่นท้องสักนิด ออกเดินทางต่อก่อนห้าทุ่มได้ เหลืออีก 70 กิโลเท่านั้นก็จะได้พักจริงจังแล้ว เฮ่อ! เหนื่อยแต่ต้องไปต่อ ปั่นเรื่อยๆ เหนื่อยก็ไปต่อ พักบนอานเอาละกัน จากโป่งน้ำร้อนไปบ่อไร่นี้ ทางช่วงแรกสบายหน่อย เพราะเป็นทางลงเขา แต่ต้องใช้ความระมัดระวังมาก เนื่องจากทางไม่ค่อยดีและมืดเอาเรื่อง ต่อด้วยทางขึ้นเขื่อนคีรีธารในเขตพื้นที่อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี เป็นเขื่อนที่ผมไม่รู้จักมาก่อนเลย ทางขึ้นซึมๆ ยาวๆ ปั่นไปฟังเสียงน้ำไหลข้างทางไป ในขณะเดียวกันก็ง่วงไปด้วย เพราะได้เวลาสมควรนอน จะหยุดปั่นและนอนแถวนี้ก็ใช่ที่ จองโรงแรมไว้ที่บ่อไรแล้วไง หาของทานแก้ง่วงระหว่างปั่นไปสิครับ กระนั้นก็ยังต้องระวังหอยทากที่มีอยู่เกลื่อนถนน มีปูบ้างเล็กน้อย เมื่อขึ้นแล้วก็ต้องลง ตอนลงนี่สิ นอกจากถนนไม่ดีมีหลุมให้ต้องหลบแล้ว ยังมีหมอกลงอีก พระเจ้า! แค่วันแรกก็เจอครบรสทีเดียว ทั้งแดด ฝน ลม หลุม หมอก
..
- 02.25 น. ถึง CP4 กม.385.5 เทศบาลบ่อพลอย อำเภอบ่อไร่ เหนื่อยและหิว น้ำหมดพอดี แต่ไม่ต้องเติมแล้ว ต้องการอาหารและการพักผ่อน แวะร้าน 7-11 ซื้ออาหารเล็กน้อยก่อนเข้าพักที่ใบบุญรีสอร์ท กม.389 ราวตีสาม นอนราวตีสี่ มีความฟินบนเตียงนุ่มๆ หลังจากชำระล้างตัวสบายกายแล้ว ได้พักสักที ราตรีสวัสดิ์
โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ